10 วิตามินและแอนติออกซิแดนท์ ดูแลสุขภาพ ต่อต้านความเสื่อม

เพื่อเพิ่มความเข้าใจในการดูแลสุขภาพ การทําความรู้จักว่าแต่ละวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่จําเป็นต่อร่างกายมีประโยชน์อย่างไรจึงเป็นสิ่งสําคัญ​

วิตามินและแอนติออกซิแดนท์ ดูแลสุขภาพ ต่อต้านความเสื่อม

วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระเป็นสารอาหารที่เราเรียกว่าสารอาหารรอง ไม่ได้ให้พลังงานกับร่างกายอย่างสารอาหารหลัก เช่น แป้ง ไขมัน โปรตีน แม้ความต้องการเป็นปริมาณที่ไม่มาก แต่ร่างกายก็ไม่สามารถขาดได้ ร่างกายมนุษย์จะไม่สามารถดํารงอยู่ได้หากขาดวิตามินที่จําเป็น เพื่อเพิ่มความเข้าใจในการดูแลสุขภาพ การทําความรู้จักว่าแต่ละวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่จําเป็นต่อร่างกายมีประโยชน์อย่างไรจึงเป็นสิ่งสําคัญ​

 

1. วิตามินเอ (Vitamin A) เป็นวิตามินละลายในไขมันชนิดหนึ่ง ซึ่งมีความสําคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน ระบบสืบพันธุ์ และ การมองเห็น หากมีปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย จะเสี่ยงมีปัญหาเรื่อง สายตา ตาแห้ง ตาบอด ติดเชื้อง่าย ​

แหล่งอาหาร: พบมากในผักโขม พริกหยวก มันเทศ ฟักทอง แครอท​

 

2. เบต้า-แคโรทีน (Beta Carotene) เป็นสารกลุ่มรงควัตถุ (Pigment) ทีให้สีส้ม สีเหลือง และอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอจึงทําให้มีประโยชน์ต่อระบบภูมิคุ้มกันและสุขภาพ สายตา อีกทั้งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องร่างกายจากความเสื่อม ​

แหล่งอาหาร: พบได้ใน ฟักทอง แตงโม แคนตาลูป แครอท มะม่วงสุก​

 

3. แอลฟา-แคโรทีน (Alpha Carotene) เป็นสารอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (carotenoid) และเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ เช่นเดียว กับเบต้า-แคโรทีน แม้ว่าอัตราการดูดซึมจะน้อยกว่าเบต้า-แคโรทีน แต่มีงานวิจัยพบว่าช่วย ลดการเจริญเติบโตของเซลล์ผิดปกติ หรือเซลล์มะเร็ง เช่น มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก ได้ดีกว่า ​

แหล่งอาหาร: พบได้ในฟักทอง แตงโม แคนตาลูป แครอท มะม่วงสุกบีทรูท​

 

4. เบต้า-คริปโตแซนทีน (Beta-Cryptoxanthin) เป็นสารอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอที่ร่างกายสามารถ ดูดซึมได้ดีและนําไปใช้ได้ดี (Bioavailability) มีส่วนช่วยลดความเสียงทีจะเกิดมะเร็งปอด และช่วยต้านการอักเสบของร่างกายโดยเฉพาะการอักเสบที่ส่งผลต่อความเสียงของการเป็น 

รูมาตอยด์ ​

แหล่งอาหาร: พบได้ในมะละกอ มะม่วงสุก ส้ม ข้าวโพด พริกหยวกไข่แดง​

 

  1. วิตามินซี (Vitamin C) เป็นวิตามินชนิดละลายในน้ำ ที่มีความสําคัญในการป้องกันการเกิดโรคทางระบบภูมิคุ้มกัน ระบบหัวใจและหลอดเลือด การดูดซึมธาตุเหล็ก นอกจากนี้วิตามินซีมีผลต่อการสร้างเนื้อเยื่อ จึงส่งผลต่อการซ่อมแซมผิวเมื่อเกิดแผล อีกทั้งยังมีผลต่อสุขภาพของกระดูกอ่อน กระดูก และฟัน ​

แหล่งอาหาร: พบได้ในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว แตงโม กะหลําปลี ผลไม้ตระกูลเบอร์รี​

 

6. วิตามินอี (Vitamin E) เป็นวิตามินละลายในไขมันที่ร่างกายใช้เพื่อคงการทํางานของระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน การเจริญเติบโตของผิวหนังผมเล็บและการมองเห็นให้เป็นปกติอีกทั้งยังช่วยต้านการอักเสบให้กับร่างกาย ​

แหล่งอาหาร: พบได้ในข้าวโพด น้ำมันจากถัวลิสง อโวคาโด ถัวต่าง ๆ​

 

7. โคเอ็นไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากในไมโตรคอนเดรียของเซลล์ซึ่งมีหน้าที่ให้พลังงานแก่เซลล์ ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ดังนั้นจึงสําคัญมากกับเซลล์ที่ต้องใช้พลังงานต่อเนื่องอย่าง เช่นเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์ปอด และเซลล์ตับที่มีหน้าที่สร้างพลังงานให้ร่างกาย หากระดับในเลือดน้อย จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ร่างกายอ่อนเพลีย 

แหล่งอาหาร: พบได้ในปลาทะเลน้ำลึก ผักโขม บล็อคโคลี งาดํา ถัวพิตาชิโอ​

 

8. ไลโคปีน (Lycopene) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ให้สีแดงในพืช ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทําลายจากสารอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดเซลล์แบ่งตัวผิดปกติหรือเซลล์มะเร็ง

แหล่งอาหาร: พบได้ในมะเขือเทศ แตงโม ฝรั่งสีชมพู เกรปฟรุต​

 

9. ลูทีน (Lutein) เป็นสารประกอบจําพวกแคโรทีนอยด์ ที่ให้สีเหลือง และแดงในพืช ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูล อิสระที่มีความโดดเด่นในเรื่องการป้องกันสุขภาพดวงตา จากการทําลายด้วยสารอนุมูลอิสระ และแสงยูวี หรือแม้กระทั่งแสงสีฟ้า เราสามารถพบสารนี้บนจอประสาทตาได้มาก เนื่องจาก มีความสามารถดูดซับแสงส่วนเกินที่เข้าสู่ดวงตา จึงสามารถป้องกันการเกิดจอประสาทตาเสื่อม ​

แหล่งอาหาร: พบได้ในผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักชี ผักโขม บล็อคโคลี​

 

10.ซีแซนทีน (Zeaxanthin) เป็นสารประกอบจําพวกแคโรทีนอยด์อีกชนิดหนึ่งที่พบมากบนจอประสาทตาปกป้องดวงตาจากแสงต่าง ๆและสารอนุมูลอิสระ มักพบสารนี้คู่กับลูทีน (Lutein) นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการปกป้องผิวจากการทําลายจากแสงแดด (UVB) อีกด้วย ​

แหล่งอาหาร: พบได้ในผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักชี ผักโขม บล็อคโคลี​

 

​ การเสริมระดับวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากการรับประทานอาหารแล้ว ยังสามารถเสริมได้จากการทานวิตามินชนิดเม็ด ซึ่งควรได้รับคําปรึกษาจากแพทย์ผู้ชํานาญการ เพื่อได้รับวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่ตรงกับความต้องการของร่างกาย เพื่อความปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาพ​
















เพราะอะไร ถึงต้องมี   วิตามินเฉพาะบุคคล 

                                 ​(Customized Supplements)​

​ แม้ว่าวิตามินหลายชนิดจะมีอยู่แล้วในอาหารธรรมชาติ แต่ปัจจุบันสังคมที่เร่งรีบส่งผลให้เราได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ทั้งจากการทานอาหาร fast food หรือจากการประกอบอาหารที่ไม่เหมาะสม​

​ วิตามินและแร่ธาตุนั้นเปรียบเสมือนน้ำมันหล่อลื่นที่ทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบประสาท ระบบภูมิคุ้มกัน หรือการทำงานของสมอง การรักษาสมดุลของระดับสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และเกลือแร่ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมนั้น จึงทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ดังนั้นคนทั่วไปที่ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน และกลุ่มคนที่มีปัญหาระบบดูดซึมไม่ดี มีปัญหาลำไส้ ทานได้น้อย อ่อนเพลีย รวมทั้งผู้สูงอายุ จึงจำเป็นต้องรับวิตามินเสริมร่วมด้วย เพื่อทดแทนสารอาหารและวิตามินที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ยาก ​

ปัจจุบันนี้วิตามินที่วางขายอยู่ในท้องตลาดเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่วิตามินสำเร็จรูปหรือสูตรมาตรฐานเหล่านั้น ไม่ได้ให้ปริมาณที่เหมาะสมต่อสุขภาพสำหรับทุกคน เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนมีความแตกต่างกันไปตามการใช้ชีวิต วิตามินเฉพาะบุคคล จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่จะทำให้ได้รับประโยชน์จากการทานวิตามินเสริมมากที่สุด​

​ โดยปกติแล้ว คนเราจะไม่รู้ตัวว่าร่างกายขาดวิตามินชนิดใดบ้าง หากไม่ได้มีการตรวจวัดเฉพาะ และมักจะเลือกซื้อวิตามินตามท้องตลาดมาทานเอง หรือบางคนอาจทานพร้อมกันหลายๆ ชนิด ในปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งส่งผลให้ตับและไตทำงานหนักในการขับถ่ายวิตามินส่วนเกิน หรือเป็นพิษในร่างกาย เนื่องจากได้รับวิตามินที่ละลายในไขมันสะสมมากเกินไป​

ในการปรุงวิตามินเฉพาะบุคคลให้เหมาะสมกับบุคคลนั้น ๆ แพทย์จะสอบถามประวัติ สอบถามอาการต่าง ๆ การใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงความต้องการของแต่ละคน และนำผลเลือดจากการตรวจวัดระดับวิตามินในร่างกายมาวิเคราะห์ เพื่อผสมวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ให้เหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วความต้องการแร่ธาตุและวิตามินของแต่ละคนจะแตกต่างทั้งชนิดและขนาดที่ร่างกายต้องการ ซึ่งไม่เท่ากัน​

หลังจากนั้น ทีมแพทย์จะมีการติดตามอาการและผลเลือดเป็นระยะทุกๆ 3-6 เดือน เพื่อวัดประสิทธิภาพในการรักษา และการเสริมวิตามินในระยะยาว​

วิตามินเฉพาะบุคคล เป็นวิตามินระดับฟาร์มาซูติคอลเกรด (Pharmaceutical Grade) คือเป็นวิตามินเกรดการแพทย์ที่ใช้ในโรงพยาบาล ได้รับการควบคุมการผลิตระดับเดียวกับยา มั่นใจได้ว่าไม่มีสารพิษ หรือโลหะหนักต่าง ๆ ปนเปื้อน และมีประสิทธิภาพ​